* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้ทีมสโมสร
นับเฉพาะลงเล่นในประเทศ
** นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้ทีมชาติ
ข้อมูลล่าสุดวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2006
เอร์นัน คอร์เค เกรสโป (สเปน: Hern?n Jorge Crespo; เกิดวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2518) นักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลปาร์มา และเป็นหนึ่งในดาวยิงคนสำคัญของฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา เล่นเป็นตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้า เกรสโปเป็นศูนย์หน้าที่มีความสามารถในการเข้าทำประตูได้ดีคนหนึ่งของโลก มีความรวดเร็ว สามารถยิงได้ทั้งสองเท้าใช้โอกาสไม่เปลือง และทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอ แฟนบอลให้ฉายาว่า "บัลดานีโต" เพราะลักษณะการวิ่งเหมือนกับคอร์เค บัลดาโน นักเตะทีมชาติอาร์เจนตินาชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1986
เกรสโปเกิดที่เมืองโฟลรีดาในย่านบีเซนเตโลเปซ ซึ่งเป็นย่านชานเมืองทางตอนเหนือของกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เริ่มเป็นเล่นบอลครั้งแรกกับสโมสรฟุตบอลริเวอร์เพลต ในฤดูกาล 1993-1994 ทำประตูได้ 13 ประตู จากการลงเตะ 25 นัด และช่วยให้ริเวอร์เพลตคว้าแชมป์อาเปร์ตูราในปี ค.ศ. 1993 และ 1994 และช่วยทำให้ริเวอร์เพลตคว้าแชมป์โกปาลีเบร์ตาโดเรส (ซึ่งเป็นถ้วยฟุตบอลใบใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้) ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1996
ในปี ค.ศ. 1996 เกรสโปได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรฟุตบอลปาร์มาในประเทศอิตาลี ช่วงที่อยู่ปาร์มาก็ช่วยทำให้ได้รองแชมป์ลีกด้วยการยิงไป 12 ประตู จากการลงเล่น 27 นัด และในปี ค.ศ. 1999 ก็ช่วยให้ปาร์มาได้ดับเบิลแชมป์ด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพและอิตาเลียนคัพได้สำเร็จ ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีมลาซิโอในปี ค.ศ. 2000 ด้วยค่าตัวแพงเป็นสถิติโลก ซึ่งมีนักเตะเพียงไม่กี่คนที่มีค่าตัวระดับนี้
เกรสโปเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกคนหนึ่ง ในช่วงที่ย้ายทีมจากสโมสรฟุตบอลปาร์มามาที่สโมสรฟุตบอลลาซิโอ เป็นเงิน 37,000,000 ปอนด์ และเล่นให้กับสโมสรลาซิโออยู่เพียง 2 ฤดูกาล คือ ฤดูกาล 2000-2001 และ 2001-2002 โดยฤดูกาลแรกที่อยู่กับลาซิโอ เกรสโปก็ยิงได้ 26 ประตูและเป็นดาวซัลโวสูงสุดในกัลโชเซเรียอา แต่ลาซิโอได้เพียงแค่อันดับที่ 3 เท่านั้น ในฤดูกาล 2001-2002 เกรสโปบาดเจ็บอยู่พักหนึ่งและลงเล่นเป็นตัวจริงไม่กี่นัด ทำประตูได้ 14 ประตู
ในปีถัดมา ทางลาซิโอมีปัญหาทางการเงิน จึงจำใจต้องขายนักเตะที่สำคัญออกไป ซึ่งมีนักเตะซูเปอร์สตาร์ทั้งอาเลสซานโดร เนสตา และเอร์นัน เกรสโปรวมอยู่ด้วย โดยขายให้กับอินเตอร์มิลาน ทางอินเตอร์ได้ทำข้อตกลงซื้อเกรสโปด้วยค่าตัว 20 ล้านยูโร พร้อมแถมแบร์นาร์โด กอร์ราดีให้กับทางลาซิโออีกด้วย ซึ่งอินเตอร์ต้องการเกรสโปมาทดแทนโรนัลโดที่ย้ายไปอยู่กับเรอัลมาดริด เกรสโปอยู่กับทางอินเตอร์ได้เพียงฤดูกาลเดียวก็เป็นที่หมายตาของเซลซี ภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการทีมเกลาดีโอ รานีเอรี ที่ต้องการนักเตะซูเปอร์สตาร์เข้ามาเสริมทีม ซึ่งเป็นช่วงที่โรมัน อับราโมวิชทุ่มซื้อเชลซีและให้ผู้จัดการทีมเลือกนักเตะซูเปอร์สตาร์ที่ต้องการโดยพร้อมจ่ายเท่าไรก็ได้ โดยเชลซีทุ่มซื้อเกรสโปด้วยจำนวนเงินกว่า 16,800,000 ปอนด์ เกรสโปจึงย้ายไปค้าแข้งบนเกาะอังกฤษกับเชลซีในปี ค.ศ. 2003
ซึ่งช่วงเวลาที่ย้ายไปอยู่กับเชลซีฤดูกาลแรกนั้น เกรสโปได้ลงเพียง 19 นัด ทำไป 10 ประตู ก่อนที่เชลซีจะเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็นโชเซ มูรีนโย ในฤดูกาลปี 2004-2005 เกรสโปไม่อยู่ในแผนการทำทีม จึงถูกปล่อยให้เอซีมิลานยืมตัวไป 1 ฤดูกาล ฟอร์มการเล่นของเกรสโปจึงดีขึ้นและมีส่วนช่วยให้เอซีมิลานเข้าชิงยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก พบกับลิเวอร์พูล ซึ่งนัดนี้เกรสโปช่วยทำประตูให้มิลาน 2 ประตู ก่อนที่จะเสมอกัน 3-3 และสุดท้ายพ่ายต่อลิเวอร์พูลในการดวลจุดโทษ ในฤดูกาล ปี 2005-2006 เกรสโปกลับมาเล่นให้เชลซีอีกครั้ง คราวนี้ได้ลงเป็นตัวจริงบ่อยครั้งมากขึ้น แต่ผลงานการทำประตูยังไม่เข้าตาผู้จัดการทีมมากนัก แต่ก็ยังอยู่ทำทีมของเชลซี ฤดูกาลถัดมาเชลซีได้ดึงตัวอันดรีย์ เชฟเชนโคมาร่วมทีม ทำให้เกรสโปไม่อยากอยู่เป็นตัวสำรอง เชลซีจึงปล่อยตัวให้อินเตอร์มิลานยืมตัว ด้วยสัญญายืมตัว 2 ปี
ช่วงที่กลับมาอยู่กับอินเตอร์มิลานเป็นครั้งที่ 2 เกรสโปมีส่วนช่วยให้ทีมได้เป็นแชมป์กัลโชเซเรียอาเป็นสมัยที่ 15 ในฤดูกาล 2006-2007 เป็นอย่างมาก เพราะได้เข้ามาทดแทนกองหน้าที่มีปัญหา เช่น อาเดรียนู ที่ฟอร์มการเล่นตกต่ำลงในฤดูกาลนี้พอดี จึงเป็นผลให้เกรสโปได้โอกาสลงสนามมากขึ้น สามารถทำประตูได้ 14 ลูก จากการลงเล่น 28 นัด ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2006 เกรสโปทำประตูที่ 125 ในเซเรียอา โดยช่วยให้อินเตอร์มิลานเอาชนะซีเอนา 2 เมษายน ค.ศ. 2007 ก็ทำประตูที่ 200 ในการเล่นทั้งหมด 400 นัด นับตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1996 เป็นต้นมา โดยเฉลี่ยแล้วยิง 0.5 ประตูต่อ 1 นัด และในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 เกรสโปก็ทำแฮตทริกช่วยให้อินเตอร์มิลานเอาชนะลาซิโอ 4-3 แต่ในรายการโคปปาอิตาเลีย ซึ่งอินเตอร์มิลานมีโอกาสลุ้นได้ดับเบิลแชมป์นั้น เกรสโปไม่สามารถช่วยพาทีมเป็นแชมป์ได้โดยแพ้ต่อโรมาอย่างยับเยินไปด้วยสกอร์รวม 2 นัด 7-4
ติดทีมชาติครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1995 ในนัดอุ่นเครื่องพบกับทีมชาติบัลแกเรียที่เมืองเมนโดซาของอาร์เจนตินา ในปี ค.ศ. 1996 ก็ได้ติดทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโอลิมปิกที่สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพ ซึ่งทีมชาติอาร์เจนตินาได้เพียงเหรียญเงินในโอลิมปิกครั้งนั้น ด้วยการพ่ายต่อทีมชาติไนจีเรีย 3-2 แต่เกรสโปก็ยังคงเป็นดาวซัลโวสูงสุดในฟุตบอลโอลิมปิกครั้งนั้นด้วยการยิงไปทั้งหมด 6 ประตูด้วยกัน และได้ไปเล่นฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส แต่เกรสโปก็เป็นตัวสำรอง เพราะต้องหลีกทางให้กับรุ่นพี่อย่างกาเบรียล บาติสตูตา ซึ่งครั้งนั้นทีมชาติอาร์เจนตินาทำได้ดีที่สุดเพียงรอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่อพลาดท่าแพ้ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ในช่วงไม่กี่นาทีจะหมดเวลาไป 2-1 โดยยิงอย่างเหนือชั้นของเดนนิส เบิร์กแคมป์ ในปี ค.ศ. 2002 เกรสโปติดทีมชาติได้มาเล่นบอลโลกอีกครั้ง คราวนี้ทีมชาติอาร์เจนตินาได้อยู่กลุ่มแห่งความตาย โดยในกลุ่มนี้มีทีมชาติอังกฤษ สวีเดน และไนจีเรียอยู่ร่วมสาย ทำให้ทีมชาติอาร์เจนตินาต้องตกรอบแรกอย่างพลิกความคาดหมาย โดยได้เพียงอันดับที่ 3 ในกลุ่มนี้เท่านั้น เกรสโปทำประตูได้เพียง 1 ลูกเท่านั้นจากนัดที่เสมอกับสวีเดน 1-1
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2005 ทีมชาติอาร์เจนตินาต้องเล่นบอลโลกรอบคัดเลือกโดยเผชิญกับบราซิล ทีมคู่ปรับตลอดกาล นัดนี้ทีมชาติอาร์เจนตินาสามารถเอาชนะไปได้ 3-1 ที่กรุงบัวโนสไอเรส โดยนัดนี้เกรสโปสามารถทำได้ 2 ประตู
เกรสโปทำได้ 4 ประตูในการลงแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 3 สมัย ฟุตบอลโลก 1998 ไม่สามารถทำประตูได้เพราะเป็นตัวสำรอง 1 ลูกในนัดที่เจอสวีเดนในฟุตบอลโลก 2002 ที่เหลืออีก 3 ลูกทำได้ในฟุตบอลโลก 2006 ในนัดที่เจอโกตดิวัวร์ เซอร์เบีย และรอบ 16 ทีมสุดท้ายพบกับฟุตบอลทีมชาติเม็กซิโก และได้รับรางวัลรองเท้าเงินจากฟีฟ่าในปี ค.ศ. 2006
จากตารางประตูที่ยิงได้นับเฉพาะเล่นในลีกเท่านั้น ยังไม่ได้นับประตูจากบอลถ้วยยูโรป ถ้วยอื่นในลีก และประตูที่ทำได้ในทีมชาติ